กิจกรรมบำบัดในเด็กตาบอด
เด็กตาบอดมีความจำเป็นต้องได้รับการฝึกประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ ได้แก่ การสัมผัส
การได้ยิน การดมกลิ่น การชิมรส ทดแทนการมองเห็นที่สูญเสียไป ควรได้รับการฝึกใช้อวัยวะ
ส่วนอื่น เช่น มือ หู ในการรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวัน
และการเรียนรู้ทักษะวิชาการต่อไป วิธีการฝึกใช้ประสาทสัมผัส มีดังนี้
การสัมผัส เด็กตาบอดจะต้องได้รับการฝึกประสาทสัมผัสที่ปลายนิ้วมากกว่าเด็กพิการ
ประเภทอื่น เพื่อใช้ปลายนิ้วในการสัมผัสตัวอักษรเบรลล์ ในการอ่านและเขียน เด็กตาบอดต้อง
เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว โดยการสัมผัสจับต้อง เพื่อเรียนรู้ลักษณะและน้ำหนักของสิ่งของ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน เช่น การสัมผัสแล้วรู้ว่าร้อน
ยกสิ่งของแล้วหนักต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
การได้ยิน เด็กตาบอดควรได้รับการฝึกฟังเสียงต่างๆในชีวิตประจำวัน รู้แหล่งที่มา
ของเสียง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเด็กตาบอดในการเคลื่อนไหวไปในที่ต่างๆ โดยการเรียนรู้เสียง
ของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว ทำให้สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตัวเอง
การดมกลิ่น เป็นการเตรียมความเด็กตาบอดให้รู้จักใช้จมูกดมกลิ่น เพื่อใช้ประโยชน์
ในการดำรงชีวิตประจำวันและเพื่อหลบหลีกอันตรายต่างๆ จากการได้สัญญาณเตือนภัยจาก
การได้กลิ่น เช่น กลิ่นแก๊สรั่ว กลิ่นไฟไหม้ ควรใช้การดมกลิ่นเพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้
ลิ้นลิ้มรสด้วย เช่น ไม่ชิมของที่มีกลิ่นบูดเน่า ไม่ควรดมสิ่งต่างๆ ชิดจมูกเพราะอาจเป็นอันตราย
ต่อร่างกายได้ เช่น การดมสารเคมีต่างๆ
การชิมรส เป็นการฝึกให้เด็กตาบอดเกิดความเข้าใจในรสชาติของสิ่งต่างๆใน
ชีวิตประจำวัน ได้แก่ เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม ว่าสิ่งไหนกินได้และสิ่งไหนกินไม่ได้ ทำให้
สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายจากการกินอาหารได้
นอกจากนี้ นักกิจกรรมบำบัดจะให้การกระตุ้นพัฒนาการแก่เด็กตาบอด โดยอาศัย
หลักการของการผสมผสานการรับรู้ความรู้สึก (Sensory Integration) เพื่อกระตุ้นระบบ
ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ ชดเชยการรับรู้ทางสายตาที่สูญเสียไป โดยใช้กิจกรรมกระตุ้น
ระบบประสาท 3 ระบบพื้นฐาน ดังนี้
1. การกระตุ้นระบบประสาททรงตัวและการเคลื่อนไหว ( Vestibular ) ได้แก่ การ
ทรงตัวการทรงท่า การเคลื่อนไหวแบบราบเรียบและในทิศทางต่างๆ เช่น กิจกรรมการกระโดด
แทมโพลีน การโยกบอล การนั่งชิงช้า การกลิ้งตัว เพื่อเด็กตาบอดสามารถนำไปใช้กับทักษะ
การเคลื่อนไหวและคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม( Orientation and Mobility :O&M ) ต่อไป
2. การกระตุ้นระบบประสาทสัมผัส (Tactile) ได้แก่ การกระตุ้นระบบการรับรู้ทาง
การสัมผัสต่างๆ ประกอบด้วยการกด การเจ็บปวด การรับรู้อุณหภูมิ ร้อน – เย็น เช่น กิจกรรม
อ่างบอล การสัมผัสพื้นผิวต่างๆ การกลิ้งตัวบนพรม เป็นต้น
3. การกระตุ้นระบบประสาทกล้ามเนื้อ เอ็นและข้อต่อ (Proprioceptive) ได้แก่
การกระตุ้นการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ เอ็นและข้อต่อต่างๆ จะส่งผลถึงการเคลื่อนไหว
สหสัมพันธ์ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ราบเรียบ มีประสิทธิภาพ เช่น การให้ทำกิจกรรม
การยกของหนัก การลาก ดึง ผลัก ของที่มีน้ำหนักมาก การโหน การปีนป่าย การกระโดด
เป็นต้น
ควรส่งเสริมให้เด็กตาบอดช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน(ADL)
โดยคำนึงถึงระดับความสามารถและความจำเป็นของเด็กตาบอดแต่ละคน การเลือกวัสดุอุปกรณ์
เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก รวมไปถึงการปรับสภาพสิ่งแวดล้อม การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก
ที่อยู่อาศัยไม่ควรมีสิ่งกีดขวางการเคลื่อนไหว ควรมีขอบเขตที่แน่นอนเพื่อสร้างความไว้วางใจ
แก่เด็ก
ดังนั้น การดูแลช่วยเหลือเด็กตาบอด บุคคลในครอบครัวควรเข้าใจในสภาพความพิการ
ของเด็กตาบอดและให้การช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น เพื่อฝึกให้เด็กตาบอดได้มีโอกาสแสดง
ความสามารถและช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน จะช่วยให้เด็กตาบอดมี
ความรู้สึกเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองมีความภาคภูมิใจในตนเองสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม
ได้อย่างเป็นสุข
เรียบเรียงโดย สุภาพร กะแก้ว เอกสารอ้างอิง วิชิตา เกศะรักษ์. เทคนิคและวิธีการให้การรักษาทางกิจกรรมบำบัดแก่เด็กตาบอด.
วารสารกิจกรรมบำบัด. ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2546. ปีที่ 8 ฉบับที่ 2.
คณาจารย์. เอกสารการสอนชุดวิชา การดูแลบุคคลพิการ. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์. 2544.
การได้ยิน การดมกลิ่น การชิมรส ทดแทนการมองเห็นที่สูญเสียไป ควรได้รับการฝึกใช้อวัยวะ
ส่วนอื่น เช่น มือ หู ในการรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวัน
และการเรียนรู้ทักษะวิชาการต่อไป วิธีการฝึกใช้ประสาทสัมผัส มีดังนี้
การสัมผัส เด็กตาบอดจะต้องได้รับการฝึกประสาทสัมผัสที่ปลายนิ้วมากกว่าเด็กพิการ
ประเภทอื่น เพื่อใช้ปลายนิ้วในการสัมผัสตัวอักษรเบรลล์ ในการอ่านและเขียน เด็กตาบอดต้อง
เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว โดยการสัมผัสจับต้อง เพื่อเรียนรู้ลักษณะและน้ำหนักของสิ่งของ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน เช่น การสัมผัสแล้วรู้ว่าร้อน
ยกสิ่งของแล้วหนักต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
การได้ยิน เด็กตาบอดควรได้รับการฝึกฟังเสียงต่างๆในชีวิตประจำวัน รู้แหล่งที่มา
ของเสียง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเด็กตาบอดในการเคลื่อนไหวไปในที่ต่างๆ โดยการเรียนรู้เสียง
ของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว ทำให้สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตัวเอง
การดมกลิ่น เป็นการเตรียมความเด็กตาบอดให้รู้จักใช้จมูกดมกลิ่น เพื่อใช้ประโยชน์
ในการดำรงชีวิตประจำวันและเพื่อหลบหลีกอันตรายต่างๆ จากการได้สัญญาณเตือนภัยจาก
การได้กลิ่น เช่น กลิ่นแก๊สรั่ว กลิ่นไฟไหม้ ควรใช้การดมกลิ่นเพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้
ลิ้นลิ้มรสด้วย เช่น ไม่ชิมของที่มีกลิ่นบูดเน่า ไม่ควรดมสิ่งต่างๆ ชิดจมูกเพราะอาจเป็นอันตราย
ต่อร่างกายได้ เช่น การดมสารเคมีต่างๆ
การชิมรส เป็นการฝึกให้เด็กตาบอดเกิดความเข้าใจในรสชาติของสิ่งต่างๆใน
ชีวิตประจำวัน ได้แก่ เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม ว่าสิ่งไหนกินได้และสิ่งไหนกินไม่ได้ ทำให้
สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายจากการกินอาหารได้
นอกจากนี้ นักกิจกรรมบำบัดจะให้การกระตุ้นพัฒนาการแก่เด็กตาบอด โดยอาศัย
หลักการของการผสมผสานการรับรู้ความรู้สึก (Sensory Integration) เพื่อกระตุ้นระบบ
ประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ ชดเชยการรับรู้ทางสายตาที่สูญเสียไป โดยใช้กิจกรรมกระตุ้น
ระบบประสาท 3 ระบบพื้นฐาน ดังนี้
1. การกระตุ้นระบบประสาททรงตัวและการเคลื่อนไหว ( Vestibular ) ได้แก่ การ
ทรงตัวการทรงท่า การเคลื่อนไหวแบบราบเรียบและในทิศทางต่างๆ เช่น กิจกรรมการกระโดด
แทมโพลีน การโยกบอล การนั่งชิงช้า การกลิ้งตัว เพื่อเด็กตาบอดสามารถนำไปใช้กับทักษะ
การเคลื่อนไหวและคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม( Orientation and Mobility :O&M ) ต่อไป
2. การกระตุ้นระบบประสาทสัมผัส (Tactile) ได้แก่ การกระตุ้นระบบการรับรู้ทาง
การสัมผัสต่างๆ ประกอบด้วยการกด การเจ็บปวด การรับรู้อุณหภูมิ ร้อน – เย็น เช่น กิจกรรม
อ่างบอล การสัมผัสพื้นผิวต่างๆ การกลิ้งตัวบนพรม เป็นต้น
3. การกระตุ้นระบบประสาทกล้ามเนื้อ เอ็นและข้อต่อ (Proprioceptive) ได้แก่
การกระตุ้นการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ เอ็นและข้อต่อต่างๆ จะส่งผลถึงการเคลื่อนไหว
สหสัมพันธ์ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ราบเรียบ มีประสิทธิภาพ เช่น การให้ทำกิจกรรม
การยกของหนัก การลาก ดึง ผลัก ของที่มีน้ำหนักมาก การโหน การปีนป่าย การกระโดด
เป็นต้น
ควรส่งเสริมให้เด็กตาบอดช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน(ADL)
โดยคำนึงถึงระดับความสามารถและความจำเป็นของเด็กตาบอดแต่ละคน การเลือกวัสดุอุปกรณ์
เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก รวมไปถึงการปรับสภาพสิ่งแวดล้อม การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก
ที่อยู่อาศัยไม่ควรมีสิ่งกีดขวางการเคลื่อนไหว ควรมีขอบเขตที่แน่นอนเพื่อสร้างความไว้วางใจ
แก่เด็ก
ดังนั้น การดูแลช่วยเหลือเด็กตาบอด บุคคลในครอบครัวควรเข้าใจในสภาพความพิการ
ของเด็กตาบอดและให้การช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น เพื่อฝึกให้เด็กตาบอดได้มีโอกาสแสดง
ความสามารถและช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน จะช่วยให้เด็กตาบอดมี
ความรู้สึกเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองมีความภาคภูมิใจในตนเองสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคม
ได้อย่างเป็นสุข
เรียบเรียงโดย สุภาพร กะแก้ว เอกสารอ้างอิง วิชิตา เกศะรักษ์. เทคนิคและวิธีการให้การรักษาทางกิจกรรมบำบัดแก่เด็กตาบอด.
วารสารกิจกรรมบำบัด. ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2546. ปีที่ 8 ฉบับที่ 2.
คณาจารย์. เอกสารการสอนชุดวิชา การดูแลบุคคลพิการ. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์. 2544.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น